The magic of mantras
“ ที่มหาวิทยาลัยครีฟแลนด์ ได้ทำการวิจัยแล้วพบว่า จังหวะของการสวดมนตรา ได้สร้างสารเคมีขึ้นในสมอง แม้ว่าเราจะไม่ทราบความหมายของมนตราก็ตาม”
ครูอยากให้มองถึงการสวดมนตรา ในแง่ของการบำบัด ไม่ใช่ในแง่ของความเชื่อ หรือ ไสยศาสตร์ เพราะ สิ่งเหล่านี้ได้ผ่านการพิสูจน์ ผ่านงานวิจัยและหลักทางวิทยาศาสตร์ มามากมายนับไม่ถ้วน หากเรามองตามนี้จะทำให้เรารู้ว่าการสวดมนตราทำงานได้อย่างไร ซึ่งจากผลการทดลองทำให้เราทราบว่า การสวด สร้างคลื่นพลังงาน และการสั่นสะเทือนในร่างกาย เมื่อเราเปล่งมนตรา เราต้องใช้พลังจากช่องท้อง (ตามตัวโน๊ตของมนตรา) จึงกระตุ้นการทำงานของ ปอด ช่องท้อง การไหลเวียนโลหิต และลดอัตราการเต้นหัวใจ ทั้งยังช่วยเพิ่มการผลิตคลื่นอัลฟ่า ซึ่งเป็นคลื่นสมองแห่งการเรียนรู้ ดังนั้นพื้นฐานของพลังงานแห่งเสียงที่คลาสสิคที่สุดจึงมาจากการสวดมนตรา นักวิทยาศาสตร์กล่าวว่า เมื่อมนตรามีการสวดพร้อมไปกับจังหวะดนตรี จะส่งผลกระตุ้น NLP ที่ย่อมาจาก Neuro-Linguistic Programming คือเทคนิคการจัดพฤติกรรมของสมองและจิตใต้สำนึก แต่ในกรณีของการสวดมนตรา จะเกิดขึ้นแม้ว่าเราจะไม่รู้ความหมายของสิ่งที่เราสวดก็ตาม ซึ่งในความพิเศษของการที่ไม่รู้ความหมายนอกจากสมองจะหลั่งสารเคมีออกมาแล้ว ยังทำให้จิตใจเราสงบ ผ่อนคลาย เพราะสมองไม่มีการตีความ สมองจึงเงียบ ได้พักผ่อน ช่วยลดความเครียด
ในปี 2014 ที่มหาวิทยาลัยการเกษตรของประเทศจีนได้มีการทดลองให้ชาวนาสวดมนต์แนวสไตล์ทิเบต ให้พืชที่ปลูก ครอบคลุมพื้นที่เพาะปลูก ทั้งหมด ประมาณ 26.7 เฮกตาร์ ผลปรากฏว่า พืชที่ปลูกได้ผลผลิตขนาดที่ใหญ่ขึ้นและสุขภาพแข็งแรง นอกจากนี้ยังทำให้แมลงและสัตว์รบกวนลดลงอีกด้วย ในขณะที่ อีกแปลงนึง ใกล้ๆ กัน ไม่ได้สวดมนต์ ให้พืช ส่งผลให้มีสัตว์ แมลงรบกวน ผลผลิตจึงลดลง
นั่นเป็นเพราะคลื่นเสียงและพลังแห่งมนตราส่งผลต่อสุขภาพของพืช แม้ว่าพืชจะไม่มีหูแต่สามารถรับพลังแห่งการสั่นสะเทือนได้ รวมทั้งสัตว์ก็เช่นกัน