คำถามที่ฉันมักจะได้ยินเกี่ยวกับการฝึกโยคะบ่อยๆ ก็คือ จะฝึกโยคะได้ไหม ถ้าแก่แล้ว ถ้าตัวแข็ง ถ้าไม่มีเวลา ถ้าเป็นโรค ถ้าเคยผ่าตัด ถ้าเคยเกิดอุบัติเหตุ ขาหัก เป็นโรคข้อ และอีกหลายๆ คำถาม ? คำตอบก็คือ “ ถ้าคุณหายใจได้ คุณก็สามารถฝึกโยคะได้” โยคะไม่ได้เกี่ยวกับความยืดหยุ่นเลย ไม่ได้เกี่ยวกับว่าคุณทำได้หรือทำไม่ได้ เพราะโยคะเกี่ยวกับการมีสติเฝ้าระวังทุกการเคลื่อนไหว ทุกลมหายใจ ทำความเข้าใจระบบของจิตใจ ที่เรานำมาสู่ชีวิตของเรา ดังนั้นการทำท่าอาสนะ (การเคลื่อนไหวร่างกาย) จะเป็นเพียงแค่จุดเริ่มต้นในการสำรวจร่างกาย ทำให้ร่างกาย แข็งแรง ชะลอความแก่แต่การทำแค่อาสนะจะเกิดการเปลี่ยนแปลงแบบค่อยเป็นค่อยไป และก็ไม่ใช่สิ่งที่สำคัญที่สุด เพราะถ้าคุณคิดว่าการทำท่าอาสนะเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดแล้วละก็ คุณอาจกำลังพลาดสิ่งที่ดีกว่าที่ลึกขึ้นไปกว่าที่ศาสตร์แห่งโยคะมี ฉันอยากย้ำคุณอีกครั้งว่าทุกครั้งที่คุณฝึกโยคะอาสนะถ้าคุณให้ความสำคัญกับการพยายามทำท่ามากไป จนมากกว่าความรู้สึกที่คุณเป็นในชั่วขณะที่คุณดำรงอยู่ คุณกำลังสร้างความเครียดให้กับตัวเอง ร่างกายมีการปรับเปลี่ยนอย่างเป็นธรรมชาติตามรูปแบบของมันเองเมื่อถึงเวลามันจะเปิดออกเอง จะพัฒนาขึ้นด้วยตัวของมันเอง คุณไม่ต้องพยายามจนมากเกินไป เพราะความก้าวหน้าในโยคะ หมายถึงความสามารถในการรับรู้ตัวตน คุณอยู่กับความเป็นจริงในชั่วขณะ ในปัจจุบัน เมื่อคุณเริ่มรู้จักโยคะผ่านการฝึกในส่วนของร่างกาย การทำท่าอาสนะ ถ้าคุณเข้าใจข้อจำกัดของร่างกายแล้ว ย่อมมีขอบเขตสำหรับการฝึกเสมอ ดังนั้น ถ้าคุณเกิดอุบัตเหตุ หรือมีโรคประจำตัวบางอย่าง หรือเพิ่งผ่าตัด แล้วละก็ด้วยข้อจำกัดเหล่านี้ คุณต้องปรึกษาแพทย์ก่อนการฝึก แน่ล่ะ มันอาจจะมีบางท่าที่ไม่ควรฝึก (ทุกท่าอาสนะมีข้อควรระวัง) แต่ก็ยังมีอีกหลายร้อยท่าที่คุณจะฝึกได้ ทั้งยังสามารถฝึกลมปราณได้อีกหลายแบบ เพียงแค่มีข้อควรระวังเป็นพิเศษเฉพาะเคสสำหรับบางคนเท่านั้น เพราะถ้าคุณเข้าไปฝึกโยคะรวมๆ ตามคลับ สตูดิโอหรือตามฟิตเนส ซึ่งส่วนใหญ่จะนำเสนอคลาสแบบรวมๆ ไม่ได้เฉพาะเจาะจง ในส่วนของข้อจำกัดเฉพาะของแต่ละคน ถ้าคุณมีข้อจำกัดบางอย่าง นอกจากปรึกษาแพทย์แล้ว คุณต้องบอกคุณครูด้วยทุกครั้ง ในส่วนของโยคะบำบัด เมื่อฉันให้ตัวอย่างท่าโยคะเพื่อบำบัดโรค คุณสามารถฝึกที่ไหนก็ได้ ที่บ้าน ที่ทำงาน คุณสามารถทำได้ทุกที่ทุกเวลา เริ่มได้ตั้งแต่ 5 นาทีไปจนถึง 2 ชั่วโมง ตราบเท่าที่คุณรู้จักข้อจำกัดของตัวคุณเอง ทำเท่าที่ทำได้ และถึงแม้คุณจะยังไม่ได้เป็นโรคนั้นๆ แต่คุณสามารถทำท่าเพื่อป้องกันโรคนั้นๆ ได้ และฉันอยากให้เราเข้าใจตรงกันว่าเมื่อคุณเกิดเป็นโรคนั้นแล้วการฝึกโยคะไม่ได้รักษาโรคของคุณได้ 100 % นะ การฝึกท่าอาสนะช่วยกระตุ้นการผลิตฮอร์โมน ช่วยรักษาสมดุลภายในได้ แต่อาจไม่ได้รักษาโรคใดโรคหนึ่งให้หายขาดได้เพียงเพราะการฝึกโยคะ แต่อาจช่วยส่งพลังจากภายในให้เกิดระบบภูมิคุ้มกันโรค เกิดความแข็งแรงจากข้างในมาต่อสู้กับโรคได้ หรือบางครั้งอาจช่วยเยียวยาได้บ้าง ไม่มากก็น้อยแล้วแต่ บอกได้ยากเพราะ โยคะบำบัดเป็นแพทย์ทางเลือก การหายจากโรคใดโรคหนึ่งอาจประกอบไปด้วยหลายๆ อย่างไม่เพียงแค่การฝึกอาสนะหรือการหายใจ โดยเฉพาะโรคที่มาจากพันธุกรรม หรือโรคเรื้อรัง แต่เชื่อเถอะคุณอยู่กับมันได้ตราบเท่าที่ร่างกายกับจิตใจคุณแข็งแรง ผลกระทบจากโรคจะลดน้อยลง คุณต้องดูแลตัวเองเรื่องอาหาร การกิน การนอนหลับพักผ่อนที่เพียงพอ งดบุหรี่ ลดแอลกฮอล์ ของหวานที่มากไป ลดการใช้สารเคมีหรือบริโภคสารเคมีมากไป เช่น ผงชูรส สารกันบูด วัตถุกันเสีย ยาฆ่าแมลงที่มากับผัก ผลไม้ สารเร่งโตในเนื้อสัตว์ เป็นต้น และเพราะท่าโยคะอาสนะ หนึ่งท่ามีประโยชน์หลากหลาย แต่จะมีจุดเด่นที่สุด หรือจุดที่ให้ประโยชน์สูงสุด ในด้านใดด้านหนึ่งๆ เสมอ ขึ้นอยู่กับว่าเราจะเน้นที่ส่วนไหน สำหรับในส่วนของคนที่ตัวแข็งไม่มีความยืดหยุ่นเลย คุณก็ยังสามาถฝึกโยคะได้ เพราะโยคะไม่ได้เกี่ยวกับความยืดหยุ่น แต่คุณควรเริ่มฝึกบ้างเล็กน้อย ถ้าคุณไม่มีเลย ในขณะเดียวกันคนที่มีความยืดหยุ่นมากเกินไปก็เป็นอันตรายพอๆกับคนที่ไม่มีความยืดหยุ่นเลย ความยืดหยุ่นควรอยู่ในระดับที่สมดุลพอๆ กับความแข็งแรงของกล้ามเนื้อ ไม่มากไป ไม่น้อยไป และแตกต่างกันไปในแต่ละคน สิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับโยคะ คือการหายใจ เพราะเมื่อคุณหายใจระบบประสาทอัติโนมัติจะเกิดความสงบ และผ่อนคลาย ส่งผลต่อโดยตรงไปที่ระบบกล้ามเนื้อ ลดอาการตึง การติดของกล้ามเนื้อ เมื่อคุณรูสึกถึงความผ่อนคลายของกล้ามเนื้อก็จะส่งผลกลับต่อไปที่จิตใจ ทำให้ช่วยลดความเครียดได้ทุกๆครั้งของการฝึกโยคะ
คนส่วนมากมุ่งมั่นกับการทำงาน และเวลาส่วนใหญ่ของชีวิตก็หมดไปกับการทำงานอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ โดยเฉพาะเมื่อเราทำงานประจำ ต้องเข้า งาน ออกงาน ตามกฎระเบียบขององค์กร เมื่อเวลาส่วนใหญ่หมดไปกับการทำงาน เราจึงเหลือเวลาดูแลตัวเองน้อยลง จนอาจกล่าวได้ว่า คนรุ่นใหม่ แต่งงานกับธุรกิจ เค้าหาเงิน หาเงิน และก็เอาเงินที่ได้มาไปจ่ายค่าหมอ ไปโรงพยาบาล ถึงเวลาแล้วที่คุณต้องสมดุลชีวิตระหว่างการทำงานกับสุขภาพ คุณทำได้ ไม่ใช่เรื่องยาก เมื่อคุณเริ่มตระหนัก และให้ความสำคัญกับมัน เพราะการป้องกันโรคง่ายกว่า การรักษาโรค หลายขุม ก่อนอื่น เรามาทำความรู้จักโรคกระดูกพรุนกันก่อน มันมีหลายระดับตั้งแต่ระดับเบาไปจนถึงขั้นรุนแรง ส่วนใหญ่อาจไม่ค่อยรู้ตัวด้วยซ้ำ เพราะไม่ค่อยสังเกตตัวเองกันสักเท่าไหร่ เนื่องจากวิถีการดำเนินชีวิตของผู้คนเปลี่ยนไป มีสิ่งอำนวยความสะดวกสบายมากขึ้น และได้ออกกำลังกายน้อยลง ประกอบกับการที่ปัจจุบันคนมีอายุขัยยืนขึ้น จึงพบโรคกระดูกพรุนได้มากขึ้นตามไปด้วย เมื่อความหนาแน่นของเนื้อกระดูกลดน้อยลงเรื่อยๆ รวมทั้งมีการเปลี่ยนแปลงในลักษณะโครงสร้างของกระดูก ซึ่งมีผลทำให้กระดูก ไม่สามารถจะรับน้ำหนักหรือแรงกดดันได้ตามปกติ ทำให้เกิดอาการกระดูก หักตามมา (Decreased bone mass, defective bone microarchitectureนอกจากจะเรียกโรคกระดูกพรุน อาจเรียก โรคกระดูกบาง โรคกระดูกผุ ก็ได้
กระดูกพรุน คือ ภาวะที่มีเนื้อกระดูกบางตัวลง เนื่องจากมีการสร้างกระดูกน้อยกว่าการทำลายกระดูก ทำให้มีความเสี่ยงต่อการหัก หรือยุบตัวได้โดยง่าย มักเกิดขึ้นกับกลุ่มนักบริหาร ซึ่งส่วนใหญ่จะอยู่ที่สภาพร่างกายกำลังเสื่อมสมรรถภาพ และมักไม่มีเวลาออกกำลังกาย ทำงานแข่งขันกับเวลา เครียด สูบบุหรี่ ดื่มแอลกอฮอลล์ และกาแฟเป็นประจำ รวมทั้งมองข้ามอาการผิดปกติเล็กๆ น้อยๆ ของร่างกาย โดยในระยะแรกมักไม่มีอาการ เมื่อเริ่มมีอาการ แสดงว่าเป็นโรคมากแล้ว อาการสำคัญของโรค ได้แก่ ปวดตามกระดูกส่วนกลางที่รับน้ำหนัก เช่น กระดูกสันหลัง กระดูกสะโพก และอาจมีอาการปวดข้อร่วมด้วย ต่อมาความสูงของลำตัวจะค่อยๆ ลดลง หลังจะโก่งค่อมหากหลังโก่งค่อมมากๆ จะ ทำให้ปวดหลังมากเสียบุคลิก เคลื่อนไหวลำบาก ระบบทางเดินหายใจและทางเดินอาหารถูกรบกวน เมื่อเป็นโรคติดเชื้อของทางเดินหายใจ จะหายยาก ระบบย่อยอาหารผิดปกติ ท้องอืดเฟ้อ และท้องผูกเป็นประจำ สำหรับการบำบัดโรคกระดูกพรุน เช่น การกินอาหารที่มีแคลเซียมให้มากพอ ลำไส้สามารถดูดซึมแคลเซียมได้เพียงครั้งละ 500 มิลลิกรัม กินแบบพอเหมาะในแต่ละครั้งไม่จำเป็นต้องมากไป นอกจากนี้การรับแสงแดดอย่างพอเพียง เพื่อให้ผิวหนังสร้างวิตามินดี ซึ่งจะช่วยให้ลำไส้ดูดซึมแคลเซียมได้ มีรายงานว่า การรับแสงแดดเพียง 30 นาที ผิวหนังจะสามารถสร้างวิตามินดีให้กับร่างกายได้ถึง 200 ยูนิต โดยเวลาที่เหมาะสม คือ 8.00 – 10.00 น. และ 15.00 – 17.00 น.